พูดคุยเกี่ยวกับการซักแห้ง

การทำความสะอาดด้วยการซักแห้งไม่ใช่เรื่องลึกลับแต่อย่างใด การซักแห้งเป็นเพียงการใช้สารเคมีเพื่อขจัดฝุ่นละอองและคราบสกปรกจากผ้า สาเหตุที่เรียกการทำความสะอาดด้วยวีธีนี้ว่า การซักแห้ง เนื่องมากจากของเหลวหรือสารเคมีที่ใช้ในกระบวนการทำความสะอาดมีน้ำน้อยหรือไม่มีเลย และไม่สามารถซึมซับเข้าไปในเส้นใยได้เหมือนน้ำ

ของเหลว หรือสารเคมีที่ใช้ในการซักแห้ง จะเป็นตัวทำละลายคราบสกปรก หรือน้ำมัน และขจัดคราบนั้นออกจากเสื้อผ้า ซึ่งการใช้น้ำไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ เส้นใยธรรมชาติ เช่น ผ้าขนสัตว์และผ้าไหมอาจเกิดการหดตัว บิด และสีเปลี่ยนได้เมื่อล้างออกด้วยน้ำ แต่ปัญหาเหล่านี้มักจะไม่เกิดขึ้นกับการการทำความสะอาดด้วยวิธีการซักแห้ง นอกจากนั้น วิธีการซักแห้งยังทำความสะอาดเส้นใยสังเคราะห์ได้ดี ซึ่งเส้นใยเหล่านี้อาจมีคราบน้ำมันที่สะสมจากการซักน้ำ แต่การซักแห้งจะช่วยขจัดคราบออกได้

เครื่องซักแห้งมีลักษณะคล้ายกับเครื่องซักผ้าแบบฝาหน้าขนาดใหญ่ที่ใช้ตามบ้านเรือน และมีลักษณะกลไกในการทำความสะอาดที่คล้ายกัน นอกจากนั้นสารเคมีที่ใช้ในการซักแห้งจะถูกกรองอย่างต่อเนื่องเพื่อให้แน่ใจว่าสะอาดอยู่เสมอ

ประวัติโดยสังเขป

มีเรื่องราวอีกมากมายที่เกี่ยวข้องกับที่มาของธุรกิจซักแห้ง โดยอนุมานได้ว่า น่าจะมีการค้นพบวิธีการซักแห้ง เมื่อน้ำมันหล่อลื่นหกหรือกระเด็นเปื้อนผ้าบังเอิญ และพบว่าเกิดการระเหยอย่างรวดเร็วและยังสามารกำจัดคราบสกปรกบนผ้านั้นได้ บริษัท Jolly Belin ซึ่งเปิดทำการในกรุงปารีสในปี ค.ศ. 1840 (พ.ศ. 2383) ซึ่งในขณะนั้นถือได้ว่าเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจซักแห้งแห่งแรก ในช่วงแรก “ช่างตัดเย็บเสื้อผ้าและช่างย้อม” พบว่ามีของเหลวหรือสารเคมีหลายชนิดที่สามารถนำมาใช้ในกระบวนการซักแห้งได้ เช่น แคมฟีน (camphene) เบนซิน ( benzene) น้ำมันก๊าด (kerosene) และแก๊สโซลีน (gasoline)

สารเคมีเหล่านี้เป็นสารไวไฟที่เป็นอันตรายได้ ดังนั้นการทำซักแห้งจึงเป็นธุรกิจที่เป็นอันตราย จนกระทั่งมีการใช้สารเคมี Stoddard ในปี ค.ศ. 1926 (พ.ศ. 2469) ซึ่งเป็นสารปิโตรเลียมชนิดแรกที่ผลิตขึ้นมาเฉพาะสำหรับการซักแห้ง ซึ่งสารเคมีชนิดนี้ไม่ติดไฟได้ง่าย นอกจากนั้นยังปราศจากกลิ่นและสิ่งสกปรกอื่นๆอีกด้วย

ในยุคปี 30 สารเคมี เปอร์คลอโรเอทธิลีน (perchlorethylene) ซึ่งมีลักษณะเป็นของเหลวที่ไม่ติดไฟได้ถูกพัฒนาขึ้นและนำมาใช้ในกระบวนการซักแห้ง และมีการใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน

สิ่งที่ร้านซักรีดหรือซักแห้งอาจทำไม่ได้

ขจัดคราบสกปรกบางประเภท ธรรมชาติและเวลาที่คราบเปื้อนสะสมบนเสื้อผ้า รวมกับสีและและลักษณะของผ้า ส่งผลให้ในบางครั้งไม่สามารถขจัดคราบสกปรกได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเสื้อผ้า

การป้องกันสีตกหรือซีดจาง ในกรณีที่ผู้ผลิตไม่ได้ทดสอบความคงทนของสีย้อมเพื่อให้แน่ใจว่าสีจะมีความทนทานต่อตัวสารเคมีที่ใช้ในการซักแห้ง อาจทำให้พบปัญหาสีซีด หรือสีตกได้ ในระหว่างการซักแห้ง หรือการกำจัดคราบสกปรก ซึ่งการทดสอบความคงทนของสีนี้เป็นถือว่าความรับผิดชอบของผู้ผลิต

การป้องกันการหดตัวของผ้าที่อาจเกิดจากการซักแห้ง การหดตัวของผ้าที่เกิดขึ้นจากการบวนการซักแห้ง มีสาเหตุมากจากผู้ผลิตไม่ได้ทำการแช่น้ำ หรือซัก เพื่อให้ผ้าหดตัวก่อนที่จะนำมาทำการตัดเย็บ

รอยขาดหรือการสึกหรอของผ้าที่เกิดจากการสวมใส่ ในบางกรณีอาจมีรอยหยักหรือรูเล็ก ๆ ที่สามารถชุนได้ แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นในลักษณะนี้ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้บริโภค

ป้องกันหรือซ่อมแซมรูบนเสื้อผ้า ที่เกิดจากแมลงหรือการกระเด็นของสารเคมีที่มีสภาวะเป็นกรด รูดังกล่าว อาจไม่สามารถสังเกตเห็นได้ก่อนการซักแห้ง แต่ก็อาจส่งผลเสียต่อเส้นใยได้

ปัญหาผ้าเงา เป็นปัญหาที่มีสาเหตุมาจากความร้อนและความดันที่มากเกินจากการรีดผ้า

การซ่อมแซมความเสียหายที่การทำความสะอาด วิธีการทำควาสะอาดบางวิธี เช่น การขัดถูผ้าหรือการขยี้ผ้า อาจจะทำลายเนื้อผ้า และอาจไม่สามารถกำจัดคราบสกปรกได้

การซักแห้งไม่ใช่แค่การทำความสะอาด

การทำความสะอาดด้วยวิธีการซักแห้งแบบมืออาชีพนั้นเป็นมากกว่าการทำความสะอาดโดยทั่วไป กระบวนการต่างๆ ต้องอาศัยคนมีทักษะ โดยมีเป้าหมายที่จะทำให้เสื้อผ้าที่นำมาทำความสะอาดลักษณะเหมือนใหม่ ซึ่งมีขั้นตอนต่างๆ ดังนี้

1. ตรวจสอบฉลากที่ระบุคำแนะนำในการดูแลที่เหมาะสมต่อเสื้อผ้า

2. ขจัดคราบสกปรกด้วยไอน้ำและสารเคมีหรือน้ำยาที่ใช้ในการซักแห้ง

3. จำแนกเสื้อผ้าตามประเภทผ้า สี และระดับของความสกปรก

4. ขจัดคราบสกปรกบนเสื้อผ้า

5. ลงแป้ง เคลือบสารกันน้ำ หรือตกแต่งเพิ่มเติม

6. ใช้ไอน้ำในการรักษารูปร่างของเสื้อผ้า

7. ติดกระดุมและทำการซ่อมแซมเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่าที่ทำได้

8. บรรจุหีบห่ออย่างเรียบร้อยเพื่อป้องกันผ้าจากสิ่งสกปรก

นอกเหนือจากความรับผิดชอบขั้นพื้นฐานเหล่านี้แล้ว ยังมีบริการเพิ่มเติมอีกด้วย เช่นการจัดเก็บเสื้อผ้า การทำความสะอาดผ้าขนสัตว์และหนัง การทำความสะอาดพรม ทำความสะอาดผ้าม่าน การแก้ไขปัญหาผ้าหมองจากฝุ่นควัน การทำความสะอาดหมอน บริการรีดผ้า การดูแลรักษาชุดแต่งงาน และการซ่อมแซมเสื้อผ้า เป็นต้น

ถาม-ตอบ

ถาม: การทำความสะอาดด้วยวิธีการซักแห้งบ่อยๆจะทำให้อายุการใช้ของเสื้อผ้าสั้นลงหรือไม่?
ตอบ: นอกจากจะไม่ทำให้อายุการใช้งานสั้นลงแล้ว ในทางตรงกันข้าม การซักแห้งบ่อยๆจะช่วยยืดอายุการใช้งานของเสื้อผ้า คราบสกปรกและฝุ่นละอองไม่เพียงแต่จะทำให้อายุการใช้งานลดลง แต่สิ่งสกปรกเหล่านี้ยังเปรียบเสมือนกระดาษทรายที่ขัดถูทำลายเส้นใยผ้า และยังอาจเกิดความเสียหายเพิ่มเติมจากแมลงต่างๆอีกด้วย จากการศึกษาที่มหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา (the University of North Carolina) ภาควิชาเสื้อผ้าและสิ่งทอ ได้ทำการทดสอบตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงของผ้าขนสัตว์ภายหลังการซักแห้ง โดยสุ่มทดสอบเนื้อผ้า 10 จุด รวมทั้งมีการทดสอบการสูญเสียความแข็งแรงและการสูญเสียความยืดหยุ่น แต่ไม่พบการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญที่เกิดจากการซักแห้ง แม้กระทั่งการทดสอบหลังจากมีการซักแห้ง deodorants ถึง 10 ครั้ง

ถาม: ถ้าป้ายฉลากระบุว่า เสื้อผ้านั้นทนต่อการซักน้ำ หมายความว่าไม่สามารถซักแห้งได้ใช่หรือไม่?
ตอบ:ไม่จำเป็น จากข้อกำหนดในการดูแลรักษาเสื้อผ้า (The Care Label Rule) ระบุว่าทางผู้ผลิตต้องระบุวิธีในการทำความสะอาดที่เหมาะสมอย่างน้อยหนึ่งวิธี ผู้ประกอบการร้านซักแห้งควรปฏิบัติตามคำแนะนำบนฉลาก ในกรณีที่ต้องการทำความสะอาดด้วยวิธีการซักแห้ง ทางผู้ประกอบการอาจขอให้ลูกค้าลงลายมือชื่อในแบบฟอร์มแสดงความยินยอม

ถาม: ควรจะทำความสะอาดผ้าที่เป็นชุดเดียวกัน ควรทำความสะอาดพร้อมกันหรือไม่?
ตอบ: ควรทำความสะอาดพร้อมกัน เนื่องจากในกรณีที่สีตกหรือสีซีด จะทำให้ไม่สังเกตุเห็นและผ้าแต่ละชิ้นก็ยังดูเข้าชุดกันอยู่

ถาม: การซักแห้งทำให้ผ้าหดหรือไม่?
ตอบ: การซักแห้งไม่ทำให้ผ้าหด ปัญหานี้ เกิดจากผู้ผลิตไม่ได้ทำการแช่ผ้าในน้ำ หรือซักผ้าให้เกิดการหดตัวก่อนที่จะนำมาตัดเย็บ

ถาม: การทำความสะอาดหนังหรือหนังนิ่ม ใช้วิธีเดียวกับการทำความสะอาดเสื้อผ้าทั่วไปได้หรือไม่?
ตอบ: ไม่มีขั้นตอนเป็นพิเศษในการช่วยคงสภาพสี ช่วยรักษาสีและผิวสัมผัส บางครั้งอาจแก้ปัญหาสีซีดที่พบในหนังและหนังนิ่มได้ด้วยการย้อมสีใหม่

ถาม: การซักแห้งสามารถแก้ปัญหาผ้ายืดได้หรือไม่?
ตอบ: กระบวนการทำความสะอาดด้วยการซักแห้ง จะมีขึ้นตอนในการใช้ไอน้ำเพื่อรักษารูปร่างของเสื้อผ้าในกรณีที่เส้นใยคลายตัวหลังจากการซักแห้ง และวิธีนี้ไม่เป็นอันตรายต่อเสื้อผ้า

ถาม: เสื้อผ้าที่ผ่านการซักแห้งจะสะอาดปราศจากกลิ่นและสวมใส่สบายใช่หรือไม่?
ตอบ: ใช่ ควรทำความสะอาดโดยผู้เชี่ยวชาญ จะมีการกำจัดน้ำยาทำควาทสะอาดออกจากเสื้อผ้า และมีขั้นตอนการทำให้แห้งที่เหมาะสมเสื้อผ้าก่อนที่จะส่งคืนให้ลูกค้า โดยปราศกลิ่นหรือสารตกค้างใด ๆ

คุณก็ช่วยในการดูแลรักษาเสื้อผ้าได้

เคล็ดลับ 8 ข้อที่จะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุดจากการซักแห้ง

1. ทำความสะอาดเสื้อผ้าของคุณเมื่อสกปรก คราบสกปรกและและฝุ่นละอองที่ทิ้งไว้นานเกินไปอาจทำควาสะอาดได้ยากทำให้อายุการใช้งานสั้นลง

2. แจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับคราบสกปรกให้กับทางร้านซักแห้ง ระบุบริเวณที่เกิดความสกปรกที่อาจมองไม่เห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคราบสกปรกจากน้ำอัดลมหรือไวน์ เพราะคราบจากเครื่องดื่มเหล่านี้ มีส่วนประกอบของน้ำตาล ซึ่งสามารถทำให้เกิดคราบสีเหลืองหรือสีน้ำตาลเมื่อสัมผัสกับร้อน นอกจากจะซักออกด้วยน้ำก่อนนำมาซักแห้ง

3. ส่งเสื้อผ้าที่มีคราบเปื้อนทำความสะอาดให้เร็วที่สุด

4. หลีกเลี่ยงการนำผ้าไปสัมผัสผ้ากับสารที่มีแอลกอฮอล์เช่นน้ำหอมและโลชั่น เนื่องแอลกอฮอล์อาจมีผลต่อสีย้อมบางชนิด

5. ในกรณีที่ใช้ย้ำยาระงับกลิ่นกาย ควรรอให้แห้งก่อนสวมใส่เสื้อผ้า

6. ปกป้องเสื้อผ้าของคุณจากการเหงื่อ โดยเฉพาะผ้าไหม เหงื่ออาจทำลายเส้นใยไหมได้

7. ปกป้องเสื้อผ้าของคุณจากการสัมผัสแสงไม่ว่าจะเป็นแสงแดดหรือแสงไฟ

8. อย่ารีดเสื้อผ้าที่เปื้อนหรือสกปรก ความร้อนอาจทำให้คราบสกปรกฝังแน่นได้