Trouble Spots

ปัญหาคราบสกปรกบนเสื้อผ้า

What you should know about stains

ข้อควรรู้เกี่ยวกับคราบสกปรกบนเสื้อผ้า

คราบสกปรกหรือรอยเปื้อนบนเสื้อผ้าเป็นปัญหากวนใจสำหรับใครหลายๆคนและเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ต้องหาผู้ช่วยในการกำจัดคราบเปื้อนจากเสื้อผ้าเช่น ร้านซักแห้ง ซึ่งการทำความสะอาดด้วยการซักแห้งนั้น จะใช้สารเคมี เครื่องมือ, อุปกรณ์ และกระบวนการพิเศษที่ใช้ในการทำความสะอาดคราบสกปรกต่างๆที่ยากต่อการกำจัดแต่ถ้าหากเรารู้และสามารถจัดการกับคราบสกปรกในเบื้องต้นได้ เราก็อาจจะช่วยให้การทำความสะอาดคราบสกปรกเป็นเรื่องที่ง่ายยิ่งขึ้น

What is the drycleaner’s responsibility?

หน้าที่และความรับผิดชอบของร้านซักแห้งคืออะไร

หน้าที่และความรับผิดชอบของร้านซักแห้งคือ การกำจัดคราบสกปรกหรือรอยเปื้อนที่ติดอยู่บนเสื้อผ้า แต่คราบสกปรกหรือรอยเปื้อนบางชนิดก็ไม่สามารถกำจัดได้ ตัวอย่างเช่น คราบฝังแน่นบนเนื้อผ้าที่ยากต่อการกำจัด ลักษณะของสีย้อมและคุณสมบัติของเส้นใยผ้าที่ยากต่อการทำความสะอาด

สีย้อมผ้าบางประเภท ที่อาจไม่ตืดคงทนและเกิดเสียหายของสีผ้า หลังการทำความสะอาดหรือการซัก เนื่องจากขั้นตอนในการกำจัดคราบสกปรกสามารถทำให้สีย้อมจากเนื้อผ้าที่ไม่คงทนอยู่ซีดจาก (สีซีดหรือสีตก) เนื่องจากปัจจัยต่างๆ เช่น ชนิดของคราบเปื้อน คุณสมบัติของเส้นใยผ้าและสีย้อม ทำให้ร้านซักแห้งไม่สามารถรับรองได้ว่า จะสามารถกำจัดทุกรอยเปื้อนบนเสื้อผ้าได้ หมดไป ดังนั้นการให้ข้อมูลเกี่ยวกับผ้าและคราบสกปรกหรือรอยเปื้อนที่เกิดขึ้น จึงมีส่วนช่วยให้ทางร้านสามารถทำความสะอาดเสื้อผ้าได้ง่ายยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ตามในกรณีที่ทางร้านซักแห้งไม่สามารถที่จะกำจัดรอยเปื้อนหรือคราบสกปรก ทางร้านจะมีการติดป้ายกำกับเสื้อผ้าเพื่อระบุหรือชี้แจ้งถึงสาเหตุที่ทำให้ไม่สามารถทำความสะอาดคราบเปื้อนนั้น ๆ ได้

Invisible stains

คราบสกปรกที่มองไม่เห็น

คราบสกปรกส่วนมากเกิดจากอาหาร อาหารที่มีส่วนประกอบของน้ำมัน และเครื่องดื่มที่อาจหกหรือกระเด็นเปรอะเปื้อนเสื้อผ้าทำให้เกิดรอยเปื้อนขนาดเล็กที่ยากต่อการสังเกตุเมื่อเสื้อผ้าบริเวณนั้นแห้ง แต่หลังจากนั้น เมื่อบริเวณที่มีคราบเปื้อนสัมผัสกับความร้อนหรือเมื่อเวลาผ่านไปนานๆ รอยเปื้อนนั้นก็จะปรากฏให้เห็นเป็นคราบสีเหลือง หรือสีน้ำตาล ซึ่งคราบสกปรกดังกล่าวเกิดจากปฏิกิริยาจากน้ำตาลที่เป็นส่วนประกอบของเครื่องดื่มส่วนมากไม่ว่าจะเป็นน้ำมะนาว น้ำขิง หรือแม้กระทั่งแชมเปญ โดยการที่คราบเปื้อนจากเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือน้ำตาลเกิดจากปฏิกิริยาที่เรียกว่าออกซิเดชั่น (oxidation) ซึ่งปฏิกิริยาดังกล่าวนี้สามารถพบเห็นได้ในชีวิตประจำวันเช่น เมื่อเรารับประทานแอปเปิ้ลจะสังเกตได้ว่าถ้าเนื้อแอปเปิ้ลที่สัมผัสกับอากาศในระยะเวลาหนึ่งจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลโดยเราสามารถมีส่วนช่วยให้การทำความสะอาดนั้นง่ายขึ้นโดยการแจ้งบริเวณที่มีคราบเปื้อน เพื่อให้ทางร้านซักรีดทำความสะอาดคราบที่มองไม่เห็นนี้ก่อนที่จะเกิดปฏิกิริยาและเปลี่ยนเป็นคราบฝังแน่นที่ยากต่อการกำจัด นอกจากคราบสกปรกจากเครื่องดื่มแล้ว คราบสกปรกจากอาหารที่มีส่วนประกอบของน้ำมัน เช่น น้ำมันทำอาหารหรือน้ำมันพืช ก็สามารถทำให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น เปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือสีน้ำตาล ทำให้เกิดคราบฝังแน่นบนเส้นใยผ้า เมื่อสัมผัสกับความร้อนหรือเมื่อเวลาผ่านไปนาน ๆ ได้เช่นกัน ซึ่งอาจทำให้การกำจัดคราบสกปรกเป็นไปได้ยาก

Food and beverage stains

คราบสกปรกจากอาหารและเครื่องดื่ม

แอลบูมิน (albumin) สามารถพบได้ทั่วไปตามธรรมชาติในอาหาร โดยเป็นส่วนประกอบของอาหารจำพวกเนื้อ ไข่ นม และปลาซึ่งก่อให้เกิดคราบสกปรกที่ทำความสะอาดได้ยาก นอกจากแอลบูมินแล้ว คราบสกปรกจากชา-กาแฟก็กำจัดได้ยากเช่นกัน เนื่องจากชา-กาแฟมีสารแทนนิน (tannin) เป็นส่วนประกอบซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดคราบฝังแน่นบนเนื้อผ้า โดยคราบเปื้อนนี้สามารถทำความสะอาดให้หายไปได้ในช่วงแรกแต่ก็จะปรากฏขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเวลาผ่านไป โดยสารนี้สามารถพบได้ในมะเขือเทศด้วยเช่นกันและเป็นสาเหตุทำให้คราบเปื้อนจากซอสสำหรับสปาเกตตี้นั้นทำความสะอาดได้ยาก รวมทั้งสารทิวเมอริค (tumeric) ที่เป็นส่วนประกอบของมัสตาร์ดก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดคราบฝังแน่น นอกจากนั้นยังมีรอยเปื้อนอื่นๆ ที่เกิดจากสีของเครื่องดื่มหรือไวน์ส่งผลให้เกิดรอยเปื้อนสีต่างๆเช่น สีม่วง สีแดง หรือสีดำ ฝังแน่นบนเนื้อผ้า

Ink and paint stain

คราบสกปรกจากสีและน้ำหมึก

นอกจากคราบสกปรกจากอาหารและเครื่องดื่มแล้ว สีและน้ำหมึกก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่พบได้ทั่วไป ซึ่งโดยส่วนมากคราบเปื้อนที่เกิดจากสี ยาทาเล็บ หรือเครื่องสำอางค์สามารถทำความสะอาดได้ แต่คราบเปื้อนที่เกิดจากสีที่แห้งและน้ำหมึกจะเกิดคราบฝังแน่นที่ไม่สามารถกำจัดได้ แต่อย่างไรก็ตามการกำจัดคราบสกปรกนั้นยังขึ้นอยู่กับเส้นใยของผ้าและสีย้อม เนื่องจากเส้นใยและสีย้อมบางชนิดอาจเกิดผลกระทบจากการทำความสะอาดด้วยสารเคมีหรือสารฟอกขาว

Perspiration stains

คราบสกปรกจากเหงื่อไคล

เหงื่อไคลเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดคราบสกปรกบนเสื้อผ้าได้โดยเฉพาะเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าไหมและผ้าขนสัตว์ คราบสกปรกจากเหงื่อบนผ้าไหม อาจก่อให้เกิดการเสื่อมสภาพของเส้นใยไหม นอกจากนั้นเหงื่อและไขมันจากร่างกายยังก่อให้เกิดคราบเหลืองฝังแน่นบนเนื้อผ้า เหงื่ออาจเกิดปฏิกิริยากับสีย้อมทำให้เกิดคราบฝังแน่นที่ทำให้ทำความสะอาดได้ยากมากยิ่งขึ้น คราบสกปรกจากเหงื่อไคลนี้สามารถป้องกันได้โดยทำความสะอาดเสื้อผ้าอย่างสม่ำเสมอคราบสกปรกที่กำจัดได้ยากส่วนใหญ่เกิดจากคราบเปื้อนที่เกิดจากปฏิกิริยาออกซิเดชั่นและคราบสกปรกที่เกิดขึ้นเป็นเวลานาน

How can you help?

เราสามารถช่วยได้อย่างไร

เราสามารถช่วยให้การกำจัดคราบสกปรกบนเสื้อผ้าทำความสะอาดได้ง่ายขึ้น ด้วยขั้นตอนง่าย ๆ ดังนี้

  • – อย่าทิ้งเสื้อผ้าที่มีคราบสกปรกไว้เป็นเวลานาน เพราะอุณหภูมิ แสง และอากาศอาจส่งผลให้คราบสกปรกฝังแน่นบนเนื้อผ้ายากต่อการกำจัด และควรส่งทำความสะอาดให้เร็วที่สุด 
  • – ห้ามรีดผ้าที่มีคราบสกปรก เพราะจะทำให้คราบสกปรกนั้นฝังแน่นลงในเนื้อผ้า ควรซักหรือทำความสะอาดก่อนรีดผ้า
  • – อย่าใช้น้ำหรือน้ำยาทำความสะอาดโดยที่ยังไม่ทราบว่าจะส่งผลต่อสีย้อมของผ้าหรือไม่ ควรทดสอบกับบริเวณด้านในของเสื้อผ้าและใช้กระดาษชำระซับเพื่อทดสอบว่าผ้าสีตกหรือไม่ 
  • – ไม่ควรขยี้เพื่อทำความสะอาดบริเวณที่เป็นรอยเปื้อนโดยเฉพาะรอยเปื้อนบนผ้าไหม เพื่อป้องกันไม่ให้รอยเปื้อนขยายกว้างขึ้นและป้องกันการทำลายเนื้อผ้า คราบสกปรกที่เกิดจากเครื่องดื่ม น้ำผลไม้ ชาหรือกาแฟ เป็นคราบสกปรกที่ยากต่อการกำจัด
  • – ควรแจ้งข้อมูลกับร้านซักรีด ระบุจุดที่มีคราบสกปรกถึงแม้ว่าจะเป็นคราบสกปรกที่ไม่สามารถสังเกตเห็นได้
  • – ไม่ควรอบผ้าหรือให้ความร้อนบริเวณที่มีคราบปนเปื้อน ควรทำความสะอาดก่อนทุกครั้ง หลีกเลี่ยงการใช้สารฟอกขาว เพราะการล้างสารฟอกขาวอย่างไม่ถูกวิธีอาจทำลายเนื้อผ้าและส่งผลต่อสีย้อมได้ 
  • – ไม่ควรตากหรือให้เสื้อผ้าขาวสัมผัสกับแสงแดดจนแห้ง เพราะเส้นใยของผ้าขาวมีสารเรืองแสงและอาจก่อให้เกิดคราบเหลืองได้ 
  • อย่างไรก็ตามควรขอคำแนะนำจากร้านซักรีดก่อนทำความสะอาดคราบสกปรกบนเสื้อผ้า เนื่องจากการทำความสะอาดในบางครั้งอาจส่งผลกระทบต่อเนื้อผ้าได้ ตัวอย่างเช่น แอลกอฮอร์ที่เป็นส่วนประกอบของสเปรย์จัดแต่งทรงผม อาจใช้ในการกำจัดคราบสกปรกได้ ในขณะเดียวกันก็อาจทำให้สีบริเวณนั้นจางลง จึงควรทดสอบก่อนทำความสะอาดเสมอ